สปอยล์เล็กน้อย
หากไม่อยากรู้เนื้อเรื่องก่อนชมภาพยนตร์ กรุณาข้ามไปได้เลยครับ!
จะว่ายังไงดีสำหรับเจ้าตัวเหลืองเซลล์เดียวนี่ดี?
มันรู้สึกเหมือนกับตอนดู Despicable Me ทั้งสองภาคคือมันฮาและกวนประสาท แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ารัก
(ยังคิดว่าอุบาทว์ในบางทีเลยด้วยซ้ำ)
Minions ภาคแยกก่อน “กรู”
ที่ผมคิดว่าอาจไม่รอดเพราะ Penguins of Madagascar ก็ไม่ผ่านด่านมาแล้วเช่นเดียวกัน
เนื้อเรื่องเริ่มต้นต้องอาศัยผู้บรรยาย (แน่นอนล่ะเพราะ บาโทก้า บานาน่า กันทั้งเรื่อง)
ทีมงานอาศัยการแสดงท่าทางเพื่อสื่อสารในช่วงแรก เรียกได้ว่าเกือบอืดเพราะการส่งมุกไปมาของ
“มิเนี่ยนส์” ทำโดยพวกเดียวกันเอง นอกจากนี้มันเป็นส่วนหนึ่งที่เราได้ชมกันจากตัวอย่างภาพยนตร์ที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้แล้วด้วย
ทำให้เหมือนดูอะไรที่ซ้ำกันอีกรอบ
จนกระทั่ง “เควิน”, “บ็อบ”
และ “สจ๊วร์ต” ออกเดินทางเพื่อภารกิจหาเจ้านายคนใหม่ การปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศเมื่อได้มาถึงกรุงนิวยอร์คยุคประธานาธิบดี
“นิกสัน” , ออกเดินทางสู่ “โอร์แลนโด้” พร้อมกับตัวละครอย่างครอบครัว “เนลสัน”
ถึงได้มีโอกาสได้ยินการส่งมุกของตัวละครที่เริ่มจะมันส์ๆขึ้นมา ยิ่งพอมาเจอกับพวก “โอเวอร์คิลล์”
แล้ว ทำให้มีโอกาสได้เข้าปฎิบัติการณ์ชิงมงกุฎจากราชินี
ทำให้บทได้เพิ่มทางเลือกได้มากขึ้นไปอีก พร้อมการกัดจิกเป็นระยะอย่าง Villain-con ที่มีพาแนล H เป็นการเปิดตัวของดารารายใหญ่ (เอาไปเทียบกับงาน Comic-Con San
Diego ได้เลย), Abbey Road ที่คิดแล้วว่าต้องมาพร้อมกับ
“เต่าทอง” และปิดท้ายด้วย “วายร้ายแสบเกินพิกัด” ในวัยเด็ก
หลังจากดูจบก็คิดว่าตกลง
“มิเนี่ยนส์” นี่เป็นอมตะหรือเปล่า? เพราะโดนทรมานและโดนระเบิดก็ยังไม่ตายซักที
คิดอีกทีหนังการ์ตูนนะครับ Why so serious? (หน้าโจ๊กเกอร์ลอยมาเลย) ถ้าจะหาจุดบอดของภาพยนตร์ก็คงเป็นอย่างที่บอกไปตอนข้างต้นคือ
การตลาดปล่อยคลิปภาพยนตร์และตัวอย่างออกมาเยอะมากทำให้เห็นเนื้อเรื่องและมุก (เกือบ)
หมด แต่ถ้าถามเรื่องเหมาะที่จะชมไหม?
ก็ต้องตอบว่าเหมาะแน่นอนสำหรับกลุ่มเด็ก และผู้ใหญ่ทำชอบความสดใส
เนื้อเรื่องไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้าเคยดู Despicable Me มาทั้งสองภาคแล้ว
ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดู Minions
ติดตามข้อมูลและข่าวสารภาพยนตร์ได้ที่เฟซบุ๊ค EntertainView
https://www.facebook.com/pages/Entertainview/172702066075577
#WeLoveSFCinema #Minions
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น