วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

The Hunger Games : Mockingjay - Part 2

Entertain ReView – The Hunger Games : Mockingjay - Part 2 ------- ข้อความบางส่วนจะเป็นการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์ ใครไม่อยากรู้เรื่องก่อนข้ามได้เลยครับ




น่าจะเป็นเรื่องที่ 2 จากวรรณกรรมเยาวชนที่สามารถทำให้ครบทั้งหมดเท่าที่หนังสือออกและประสบความสำเร็จ ต่อจากพ่อมดน้อย (พอจบก็เป็นพ่อมดหนุ่มเลย) ต่อจากความเดิมใน Part 1 ที่เหมือนการปูเนื้อเรื่องเพื่อนำร่องสู้การต่อสู้ใน Part 2 ยังกลัวว่าจะเป็นแบบใน The Matrix: Reloaded จัดเต็มความสนุกแต่ใน The Matrix: Revolution กลับมีเนื้อหาแบบหลวมๆ ยังพอสนุกได้บ้างกับตอนท้ายของเรื่อง

The Hunger Games : Mockingjay - Part 2 การรบกับแคปิตอลของ “แคทนิสส์” เต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องร่วมรบกับ “เกล ฮอว์ธอร์น” ทำหน้าที่วางแผนการรบและฟังคำสั่งทั้งจาก “อัลม่า คอยน์” และ “พลูทาร์ช เฮเว่นบีส์” ที่ทำหน้าเป็นผู้วางหมากการรบ
ภาพยนตร์ใช้เวลาในตอนต้นเพื่อเริ่มปูทางอาจรู้สึกถึงความเนือยไปบ้าง แต่ใครรับได้จาก Part 1 มาก่อนแล้ว ระยะเวลาเพื่อความสมบูรณ์อีกเล็กน้อยไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด และเมื่อเริ่มเข้าสู่การบุก “แคปิตอล” อย่างที่ “ฟินนิค” บอกไว้ว่า “ยินดีต้อนรับสู่ฮังเกอร์เกมส์ครั้งที่ 76” ทำให้ภาพยนตร์กลับมาสนุกอย่างใน The Hunger Games และ The Hunger Games: Catching Fire ที่มีฉากการสู้รบให้ได้ชมกัน โดยเฉพาะการผ่านด่าน “พ็อด” และ “ท่อน้ำใต้ดิน” ให้ความลุ้นระทึกได้ดีมาก แถมด้วยการโฆษณาชวนเชื่อจากทั้งสองฝ่าย เป็นการชิงพื้นที่สื่ออย่างเห็นได้ชัด

สลับฉากการต่อสู้ด้วยความเป็นดราม่าว่าด้วยเรื่อง “รักสามเส้า” และ “การช่วงชิงอำนาจ” ในจังหวะสลับกันไปเรื่อยๆในช่วงเวลาพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป กลายเป็นภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่า “รักระหว่างรบ” พอผู้ชมได้หยุดเหนื่อยกับสงครามก็มาเจอปัญหาเรื่องความรักต่อ ประมาณว่ามีประเด็นได้ตลอดทั้งเรื่อง

น้ำหนักตัวละครหลักคือ “แคทนิสส์”, “พีต้า” และ “เกล” ค่อนไปทาง 2 ตัวแรกมากกว่าด้วย ชดเชยจากการที่ “พีต้า” หายไปเยอะจาก Part 1 รายละเอียดปลีกย่อยแผนการรบที่ปูไว้ตอนต้นเรื่องถูกนำมาใช้ในจุดไคลแม็กซ์แรกเป็นการปิดฉากการรบ จะว่าไปแล้วแฟรนไชส์ Hunger Games ไม่มีฉากการรบที่ “แคทนิสส์” ต้องสู้กับผู้ร้ายในแบบที่ตัวเอกต้องสู้ในแบบซูเปอร์ฮีโร่ ภาพยนตร์จะเล่าเป็นการบอกผ่านจากตัวละครอื่นหรือเหตุการณ์ที่รับรู้จากสถานการณ์ในเรื่อง ผมยังคิดว่าจะได้เห็น “แคทนิสส์” บุกเข้าไปในบ้าน “สโนว์” และตัดสินกันตรงนั้น แต่ไม่มีฉากนั้นในภาพยนตร์ แต่อย่างน้อยยังคงปรากฎฉากสนทนาของ “แคทนิสส์” กับ “สโนว์” ที่รายหลังยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

ไคลแม็กซ์ที่ 2 คือวันประหาร “สโนว์” จุดเปลี่ยนของ “พาเน็ม” เป็นการเลือกของ “แคทนิสส์” ที่กลายเป็นเครื่องมือหรือหมากในกระดานของทั้ง “สโนว์” และ “คอยน์” บทหาทางออกให้กับตัวละครที่ต้องสูญเสียทั้งเพื่อนและคนรู้จักไปอย่างมากมาย รวมถึงน้องสาวที่เธออยากจะปกป้องตั้งแต่ที่แรก ถึงได้เข้าร่วม “เกมล่าคน” ขอเพียงได้ล้างแค้นเท่านั้น เพราะชีวิตที่ตื่นขึ้นมาหลังจากสงคราม มันไม่มีอะไรเหลืออีกต่อไปแล้ว........ แม้จะเป็นวรรณกรรมเยาวชนก็ยังสื่อได้ว่าไม่มีใครชนะในสงครามมีแต่การสูญเสียเท่านั้น

ความยาวของภาพยนตร์ 2 ชั่วโมง 17 นาที ปกติถือว่ายาวอยู่ แต่การดูครั้งนี้ผมว่ามันเพลินได้กับเนื้อเรื่องที่เดินไปข้างหน้าอย่างมีที่มาและที่ไป (อาจมีอืดเล็กน้อย) แต่ความสนุกมาพร้อมกับความเป็นดราม่า และไม่ได้จำเป็นว่าต้องจบให้สวยงามไปหมดทุกอย่าง สำหรับผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ในอำนาจและความนับหน้าถือตา เพียงต้องการอยู่กันเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเท่านั้นเอง ซึ่งตอนหลังเธอก็ได้อยู่กับครอบครัวที่เธอรักในที่สุด#Real

ขอขอบคุณ WALKER Ent. update อีกครั้งครับ


เฟซบุ๊ค EntertainView : https://www.facebook.com/Entertainview-172702066075577/

#EntertainView #TheHungerGames#MockingjayPart2 #JenniferLawrence#KatnissEverdeen


วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

The Intern "โก๋เก๋ากับบอสเก๋ไก๋"


The Intern พล็อตเรื่องที่กล่าวถึงคนวัยเกษียณแต่หัวใจยังมีไฟ ภาพยนตร์ตลกโรแมนติคที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นที่จับนักแสดงมากความสามารถอย่าง โรเบิร์ต เดอนีโร มารับบท “เบน วิเทคเกอร์” ที่ต้องการเติมเต็มชีวิตที่ว่างเปล่าด้วยการกลับมาทำงานในฐานพนักงานฝึกหัดรุ่น (อายุ) อาวุโส

เนื่องจากเป็นบริษัทแฟชั่นทางอินเตอร์เน็ตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ “จูลส์ ออสติน” ของ แอน แฮธาเวย์ เป็นซีอีโอที่เข้าถึงยาก ไม่หลับไม่นอน คิด ทำ ตัดสินใจแทบจะเพียงคนเดียว ผู้บริหารที่ทุ่มตนเพื่อบริษัทโดยดูแลครอบครัวไปพร้อมๆกัน จะว่าไปก็คือคนทำงานยุคนี้ที่มีความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อสร้างฐานะให้มั่นคง รักในสิ่งที่ตนเองทำ

การมาถึงของ “เบน” เหมือนคนที่ผ่านร้อนหนาวและประสบการณ์ ที่เข้ามา “สโลว์” ทุกคนที่มีชีวิตที่ไม่เข้าที่เข้าทางในบริษัทไม่เพียงแต่ผู้บริหารเท่านั้น รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่จีบหญิงไม่เป็น, เนิร์ดที่ปรับตัวให้เข้ากับสังคม และพนักงานฝึกหัดที่ยังตั้งหลักให้กับชีวิตไม่ได้
ภาพยนตร์บอกเป็นนัยว่าคนวัยอาวุโสอาจไม่ได้ต้องการทำงานเพื่อเงิน แต่ในการกลับมาทำงานคือการมีเพื่อนและเจอคนที่ใช่อีกครั้งในบั้นปลายชีวิต แต่อย่าง “เบน” นี่ถือว่ามีไฟอยู่เป็นอย่างมากเรียนรู้ทั้งการใช้วีดีโอถ่ายตนเองเพื่อการสมัครงานและเรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์ พร้อมทั้งการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงาน ไม่ได้เอาตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ภาพยนตร์มีส่วนที่เป็นดราม่าเพียงเล็กน้อย เสมือนว่า “เบน” มาแก้ไขปัญหาชีวิตให้กับ “จูลส์ ออสติน” เสียมากกว่า เป็นเหมือนตัวถอดรหัสและจัดเรียบเรียงความสำคัญในชีวิตเสียใหม่จากเดิมที่มันเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าในบางครั้ง คนเรามันอยู่ใกล้กันจนเกินไป มองไม่เห็นความสำคัญ ทำให้มองผ่านเลยไป หรืออาจจะคิดว่า “รอแป๊ปน่ะ เดี๋ยวฉันกลับมา” หรือ “รู้อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่...... (เติมด้วยเหตุผลร้อยแปดประการ)

ฉากที่ชอบคือ ในโรงแรมที่ควรจะโศกเศร้าอย่างเป็นที่สุด เมื่อต้องปรึกษาปัญหาชีวิต ภาพยนตร์ยังนำเสนอออกมาในมุมมองที่น่ารักได้เป็นอย่างดี ทั้งความคิดที่บรรยายออกมาและอารมณ์ของนักแสดง  จะบอกว่า แอนน์ เล่นเก่งมาก ที่เข้าฉากกับ เดอนีโร แล้วพลังดาราทั้งคู่ไปกันได้ด้วยดี ส่วน เดอนีโร ชอบตอนแกทำหน้าตายิ้มๆแบะๆ หากคิดไม่ออกก็นึกถึงตอนที่ แซ็ค เอฟรอน กับ เดฟ ฟรานโก้ ทำหน้าตาล้อเลียนแกในภาพยนตร์ Neighbors นะครับ แต่เวลาหน้านิ่งๆนี่คิดถึง Casino ทุกที

คนเขียนบทและกำกับคือ แนนซี่ เมเยอร์ส หากใครเคยชมผลงานของเธออย่าง Something Gotta Give และ What Women Want แล้ว ทำให้ไม่แปลกใจว่าบทจะไม่ลงลึกความเป็นดราม่า ทำให้ The Intern เป็นภาพยนตร์ตลกโรแมนติคอย่างเต็มรูปแบบ à LOVE LOVE LOVE

#EntertainView #TheIntern #AnneHathaway #RobertDeNiro #NancyMeyers

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

Self/Less สลับร่างล่าปริศนาชีวิตอมตะ


Self/Less “สลับร่างล่าปริศนาชีวิตอมตะ
สิ่งที่น่าสนใจเริ่มต้นสำหรับเรื่องนี้คือเป็นผลงานของผู้กำกับ ทาร์เซ็ม ซิงห์ จาก The Cell ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนววิทยาศาสตร์อาชญากรรมที่เจาะลึกเข้าไปในจิตใจมนุษย์
จากการชมตัวอย่างภาพยนตร์ ยังทำให้นึกถึงภาพยนตร์สมัยก่อนอย่าง Body Parts อีกด้วยที่ทำให้ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดไม่สามารถควบคุมแขนข้างที่ได้รับการปลูกถ่ายได้ คิดว่าจะได้ชมแนวเขย่าขวัญจิตวิทยา แต่เมื่อได้ชมทั้งหมดแล้วกลายเป็นผมเองที่ Self เพราะการคิดไปเอง
Self/Less พอไม่คาดหวังว่าจะสนุกแต่กลับได้อรรถรสจากฉากแอ็คชั่น (เขาถึงได้ตั้งชื่อไทยแบบนี้เอง) ทำให้ไม่น่าเบื่อจนเกินไป แต่อาจมีอารมณ์เหนื่อยกับบางฉาก เมื่อเข้าสู่ครึ่งเรื่องหลังจะเน้นการแก้ไขสถานการณ์จากการไล่ล่าและเดินไปสู่บทสรุปของเรื่อง
เป็นอีกครั้งที่เสียดายความสามารถของ เบน คิงส์ลีย์ ที่ออกมาเพียงน้อยนิด อยากรู้ถึงเหตุผลหลักในการ ลอกคราบว่าอยากอยู่ต่อเพื่อทำงานหรือเพื่อครอบครัว ผู้กำกับน่าจะใช้ประโยชน์จากเขาได้มากกว่านี้ ไม่มีการให้น้ำหนักเรื่องครอบครัวของ เดเมี่ยนและความสัมพันธ์กับเพื่อน มาร์ตินของนักแสดง วิคเตอร์ การ์เบอร์ มากเท่าไหร่ , ตัวร้าย อัลไบรท์ของ แมทธิว กู๊ด ดูดีแต่ไม่ใช่สิ่งใหม่ ส่วนพระเอก ไรอัน เรย์โนลด์ส ยังคงได้ทั้งดราม่าและแอ็คชั่น และภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีส่วนที่เป็นแนวจิตวิทยาแต่อย่างใด
คิดเอาเองว่าผู้กำกับตั้งใจตั้งชื่อล้อไปกับ Face/Off หรือเปล่า? แต่สำหรับ Self/Less ถ้าให้ตีความด้วยตนเองตามชื่อน่าจะมาจาก Selfless “ความไม่เห็นแก่ตัวหรือตัวเอกต้องเลือกระหว่าง “Self – ตนเองหรือ “Less – น้อยลงบ้างก็ดี อย่าเยอะนักเลยกับชีวิต
ความเป็นอมตะหรือการไม่ยอมรับวันสิ้นอายุขัยในมุมมองของภาพยนตร์ที่เคยชมอย่าง Re-Animator และ Pet Semetary สิ่งที่ได้รับกลับมาสยองขวัญเป็นอย่างมาก แต่ด้านสวยงามก็มีไม่แพ้กันอย่าง The Age of Adaline และ Bicentennial Man
บทสรุปตอนท้ายของภาพยนตร์เหมือนจะบอกว่าแม้คุณมีเงินทองรวยล้นฟ้า คุณก็หนีความตายไม่พ้น แต่ก่อนตายคุณเคยทำสิ่งดีให้กับผู้อื่นไว้บ้างหรือยัง? หรือคำนี้ดีกว่า อยู่ก็ทำให้คนเขารัก จากไปก็ทำให้เขาคิดถึง....
ขอบคุณ WALKER Ent. update ครับ

ติดตามข่าวได้ที่ https://www.facebook.com/Entertainview-172702066075577/timeline/


วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Before We Go ก่อนที่เราจะจากกันไป ......


Before We Go เป็นภาพยนตร์ที่อยากดูโดยมีที่มาจาก 2 เหตุผลคือ 2 นักแสดงหลัก คริส อีแวนส์ และ อลิซ อีฟ และการเล่าเรื่องที่กำหนดให้เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ผลงานการกำกับครั้งแรกของ คริส อีแวนส์ ที่เคยได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าเขาอยากทำงานเป็นผู้กำกับ อีแวนส์ เปลี่ยนสีผมจากทองเป็นสีดำๆเพื่อให้เข้ากับเคราดูครึ้มๆ ช่วยลบภาพ Captain America และนางเอกประจำเรื่องอย่าง อลิซ อีฟ ที่ติดตามาจาก Star Trek Into Darkness ไม่มีเค้าให้เหลือภาพ (แต่ใช่ว่าไม่สวยนะ)
เป็นอีกครั้งที่ภาพยนตร์แนวโรแมนติคเล่าเรื่องของคน 2 คนที่มีโอกาสได้พบกันทำความรู้จักในช่วงระยะเวลาอันจำกัด และพัฒนาความสัมพันธ์ท่ามกลางสถานการณ์และอารมณ์ส่วนตัวที่ต่างกัน “นิค” มีเหตุผลที่อยากจะหาอะไรทำเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าปัญหาส่วนตัว “บรู๊ค” อยากที่จะได้กลับบ้านเพื่อกลบเกลื่อนปัญหา เมื่อเรื่องดำเนินไปจะเห็นได้ว่าการกระทำของทั้งคู่ไม่ได้แก้ปัญหาแต่เป็นการยืดเวลาออกไปหรือพูดได้ว่าหลอกตัวเองไปวันๆ
แต่เมื่อทั้งคู่มาเจอกันและมองจากในมุมของคนนอก ทางออกของปัญหานั้น เราเห็นกันอยู่เพียงแต่... แทบทุกคนไม่ได้อยากจะเจ็บ ยังคงเชื่อว่ามันยังมีโอกาส จนกระทั่งสักวันหนึ่งเราจะได้รับรู้ความจริงว่าบางสิ่งที่มันจบไปแล้ว ก็คือจบ ได้แต่ยอมรับอย่างที่ “นิค” บอกไว้ “ต้องโอเคในสิ่งที่ไม่โอเค”
หลายฉากที่ทำให้นึกถึงภาพยนตร์เก่าๆ เช่น ทั้งคู่จะมีอารมณ์ใส่กันได้ง่ายเพราะเป็นคนที่เพิ่งรู้จักกัน อันนี้นึกถึง One Fine Day (จอร์จ คลูนีย์ ทะเลาะกับ มิเชลล์ ไฟเฟอร์ ริมถนน) แต่เมื่อมีการหยอกล้อพูดเล่น แลกเปลี่ยนทัศนคติทำให้นึกถึง Before Sunrise (อีธาน ฮอว์ค คุยเล่นกับ จูลี่ เดลพี บนรถโดยสาร) กับฉากที่เปิดใจให้กันในโรงแรมก็นึกถึง Lost In Translation (บิลล์ เมอร์เรย์ พูดกับ สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน ก่อนจะจากกัน) และเมื่อถึงเวลาในตอนท้ายบทสรุปคือ Forces of Nature (แซนดร้า บูลล็อค และ เบ็น แอ็ฟเฟล็ค) ที่ต่างคนต้องกลับทำหน้าที่ของตนเอง เผชิญหน้ารับความจริงเพียงแต่............ด้านหลังกระดาษความเห็นนั้นจะเขียนว่าอย่างไรต่อเท่านั้นเอง
ส่วนตัวรู้สึกชอบมาก ดูแล้วเพลิน มีทั้งโรแมนติค ดราม่า ตลก แต่เมื่อดูจบรู้สึกว่าชอบกับบทสนทนามากกว่าการแสดง เนื้อเรื่องก็ดูง่ายและสบาย หลายประโยคสนทนากล่าวถึงความรักในแบบที่รู้สึกเจ็บทั้งที่รัก แต่คิดว่าขโมยซีนได้อย่างมีคุณภาพคือ “แฮร์รี่” คุณลุงหมอดูที่ได้กล่าวไว้ว่า “ไม่มีใครที่มีความสมบูรณ์หรอก มันจะมีเรื่องที่ต้องให้ฝ่าฟันเสมอ เพียงแต่เราต้องเลือกใครบางคนที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน”
ลองชมกันดูนะครับ คิดว่าคุ้มค่ากับเวลาเพียงชั่วโมงครึ่ง อีโมติคอน smile
ติดตามข้อมูลและข่าวจากภาพยนตร์ได้ที่ EntertainView เฟซบุ๊ค
https://www.facebook.com/pages/Entertainview/172702066075577

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Mission: Impossible - Rogue Nation

Mission: Impossible – Rogue Nation
ปฏิบัติการครั้งที่ 5 ของ “อีธาน ฮันท์” ว่าด้วยการพิสูจน์การมีตัวตนขององค์กร “ซินดิเคท”

โครงเรื่องคล้าย Ghost Protocol เริ่มจากปฎิบัติการช่วงต้นเรื่องแสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของพระเอก จากนั้นเข้าสู่แกนหลักที่ต้องเสียทีให้กับวายร้ายและต้องหลักเพื่อแก้เกมส์กลับคืนสู่ฉากที่ช่างสรรหามาให้ชมสมกับ “ปฏิบัติการที่เป็นไปไม่ได้” ช่างสรรหาวิธีทรมาน ทอม ครูซ วัย 53 ปีได้ดีเหลือเกิน สุดท้ายคือการสรุปปิดท้ายด้วยการแก้เกมส์ที่ทุกคนคาดไม่ถึง แต่ที่รู้แน่คือพระเอกต้องชนะอย่างแน่นอน
ยังคงเป็นหัวหอกหลักเช่นเดิมพร้อมนั่งแท่นโปรดิวเซอร์ ทอม ครูซ กลับมาพร้อมเสน่ห์ของ “ฮันท์” โชว์ร่างกายฟิตๆ (ภาคที่แล้วก็โชว์) พร้อมกับทีม IMF อย่าง “เบนจี้ ดันน์” ตัวละครพูดมากพอๆกับความสามารถทางเทคโนโลยี นึกไปถึงบท “สก็อตตี้” ใน Star Trek ได้เลย มีความเด่นมากไม่แพ้พระเอก ดูแล้วเด่นกว่าบท “ลูเธอร์ สติคเคลล์” ของ วิง เรมส์ เสียอีก และ เจเรมี่ เรนเนอร์ “วิลเลี่ยม แบรนด์ท” บทที่มาแบบนิ่งแต่แอบมีมุกฮาๆเป็นระยะแต่พร้อมที่จะดราม่าได้ทันที เสียดายที่ภาคนี้แอ็คชั่นน้อยไปหน่อย แต่มีความสำคัญสำหรับเชื่อมต่อกับ “อลัน ฮันลีย์” ของ อเล็ค บอลด์วิน หัวหน้าหน่วยซีไอเอ

เปลี่ยนทุกภาคสำหรับนางเอก รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน รับบท “อิลซ่า ฟอสท์” ตัวละครที่มีฝืมือระดับพระกาฬมาพร้อมกับความเท่ห์ (ทั้งท่าโพสต์ยิง, ขับมอเตอร์ไซต์และท่าไม้ตายกระโดดขึ้นคอสังหาร) แถมด้วยการมีความลับหลายชั้นซ้อนอยู่ด้วยกัน กว่าจะดูออกว่าเธอฝ่ายไหนก็ครึ่งเรื่องไปแล้ว ส่วนวายร้ายในภาคนี้มาแบบมาตรฐานคือ น้ำเสียง, สายตาและท่าทาง...นิ่ง ใส่เสื้อคอกลมหรือชุดสูท “เลน” แสดงโดย ฌอน แฮร์ริส ที่ประหลาดใจคือไม่คิดว่าจะให้เห็นหน้ากันชัดๆตั้งแต่ตอนแรก

ฉากแอ็คชั่นไม่ต้องพูดถึงเลยว่า “สุดจะคิดออกมาได้ในแต่ละภาค” ภาคนี้ก็ทั้งเกาะอยู่นอกเครื่องบิน และมุดลงน้ำแบบไม่มีถังออกซิเจน เป็น 2 ฉากหลักที่ทำให้คิดถึงภาคแรก Mission: Impossible ปี 1996 ของผู้กำกับ ไบรอัน เดอ พัลม่า คือ โหนตัวลงมาจากเพดาน และ ฉากต่อสู้บนหลังคารถไฟความเร็วสูง ที่เป็น 2 ฉากการเปิดตัวแฟรนไชส์จนถึงทุกวันนี้ และฉากไลล่าด้วยมอเตอร์ไซต์ทำให้นึกถึงภาค 2 ของ จอห์น วู

แต่มี 2 ฉากที่ไม่ใช่แอ็คชั่น เป็นการสนทนาธรรมดาแต่มันสะกิดใจ ฉากแรกคือ “อิลซ่า” กับ หัวหน้าหน่วย MI6 เกี่ยวกับชีวิตของสายลับ ที่ทำให้คิดไปถึงตัวละครอย่าง “เด็คคาร์ด ชอว์” ใน Furious 7 ถ้าหน่วยงานมันเฮียได้ขนาดนี้ก็ “ชีวิตจะหาหนทางของมันเอง” ครับ กับอีกฉากที่ทำให้อังกฤษเหมือนเป็นตัวตลกไปเลย เหมือนกัดๆจิกๆยังไง? อยากให้ 007 โผล่ออกมามากเลย

ได้ประสบการณ์ระบบเสียงแน่นๆหนักๆที่มาตามเสียงเครื่องบินลำเลียง, เสียงน้ำและเครื่องยนต์ในห้องเก็บข้อมูล รวมถึงเสียงบิดมอเตอร์ไซต์ไล่ล่ากันบนท้องถนน คงต้องยกให้โรงภาพยนตร์ IMAX เพียงระบบเดียวเท่านั้นครับ
ขอบคุณเพจ Sense on Films , Celebrity Style by toujours ensembleและ IMAX & 4DX Fanclub ครับ
*คิดว่าไม่ได้สปอยล์หนังนะ หากอ่านแล้วคิดว่าเป็นสปอยล์ขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยครับ

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Minions บาโทก้า บานาน่า อูลาล่า

สปอยล์เล็กน้อย หากไม่อยากรู้เนื้อเรื่องก่อนชมภาพยนตร์ กรุณาข้ามไปได้เลยครับ!



จะว่ายังไงดีสำหรับเจ้าตัวเหลืองเซลล์เดียวนี่ดี? มันรู้สึกเหมือนกับตอนดู Despicable Me ทั้งสองภาคคือมันฮาและกวนประสาท แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ารัก (ยังคิดว่าอุบาทว์ในบางทีเลยด้วยซ้ำ)

Minions ภาคแยกก่อน “กรู” ที่ผมคิดว่าอาจไม่รอดเพราะ Penguins of Madagascar ก็ไม่ผ่านด่านมาแล้วเช่นเดียวกัน เนื้อเรื่องเริ่มต้นต้องอาศัยผู้บรรยาย (แน่นอนล่ะเพราะ บาโทก้า บานาน่า กันทั้งเรื่อง) ทีมงานอาศัยการแสดงท่าทางเพื่อสื่อสารในช่วงแรก เรียกได้ว่าเกือบอืดเพราะการส่งมุกไปมาของ “มิเนี่ยนส์” ทำโดยพวกเดียวกันเอง นอกจากนี้มันเป็นส่วนหนึ่งที่เราได้ชมกันจากตัวอย่างภาพยนตร์ที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้แล้วด้วย ทำให้เหมือนดูอะไรที่ซ้ำกันอีกรอบ

จนกระทั่ง “เควิน”, “บ็อบ” และ “สจ๊วร์ต” ออกเดินทางเพื่อภารกิจหาเจ้านายคนใหม่ การปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศเมื่อได้มาถึงกรุงนิวยอร์คยุคประธานาธิบดี “นิกสัน” , ออกเดินทางสู่ “โอร์แลนโด้” พร้อมกับตัวละครอย่างครอบครัว “เนลสัน” ถึงได้มีโอกาสได้ยินการส่งมุกของตัวละครที่เริ่มจะมันส์ๆขึ้นมา ยิ่งพอมาเจอกับพวก “โอเวอร์คิลล์” แล้ว ทำให้มีโอกาสได้เข้าปฎิบัติการณ์ชิงมงกุฎจากราชินี ทำให้บทได้เพิ่มทางเลือกได้มากขึ้นไปอีก พร้อมการกัดจิกเป็นระยะอย่าง Villain-con ที่มีพาแนล H เป็นการเปิดตัวของดารารายใหญ่ (เอาไปเทียบกับงาน Comic-Con San Diego ได้เลย), Abbey Road ที่คิดแล้วว่าต้องมาพร้อมกับ “เต่าทอง” และปิดท้ายด้วย “วายร้ายแสบเกินพิกัด” ในวัยเด็ก

หลังจากดูจบก็คิดว่าตกลง “มิเนี่ยนส์” นี่เป็นอมตะหรือเปล่า? เพราะโดนทรมานและโดนระเบิดก็ยังไม่ตายซักที คิดอีกทีหนังการ์ตูนนะครับ Why so serious? (หน้าโจ๊กเกอร์ลอยมาเลย) ถ้าจะหาจุดบอดของภาพยนตร์ก็คงเป็นอย่างที่บอกไปตอนข้างต้นคือ การตลาดปล่อยคลิปภาพยนตร์และตัวอย่างออกมาเยอะมากทำให้เห็นเนื้อเรื่องและมุก (เกือบ) หมด  แต่ถ้าถามเรื่องเหมาะที่จะชมไหม? ก็ต้องตอบว่าเหมาะแน่นอนสำหรับกลุ่มเด็ก และผู้ใหญ่ทำชอบความสดใส เนื้อเรื่องไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้าเคยดู Despicable Me มาทั้งสองภาคแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดู Minions

ติดตามข้อมูลและข่าวสารภาพยนตร์ได้ที่เฟซบุ๊ค EntertainView 
https://www.facebook.com/pages/Entertainview/172702066075577


#WeLoveSFCinema #Minions

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

It Follows ไวรัลเซ็กช่วล?



*คำเตือน อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์บางส่วน ใครที่ยังไม่ได้ชมและไม่อยากรู้เรื่องก่อน ไม่ต้องอ่านต่อนะครับ*

หลังจากดู It Follows “อย่าให้มันตามมา” จบ สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ “เอาอีกแล้ว จบแบบนี้อีกแล้ว เสียเวลาดูหรือเปล่าหว่า?”  ครั้งแรกที่เห็นหนังสยองขวัญเรื่องนี้คือในภาพยนตร์ทำเงิน ได้รับการกล่าวว่าเป็นหนังสยองขวัญที่น่าสนใจ ทุนต่ำ ทำเงิน และอีกหนึ่งความน่าสนใจคือ นักแสดงนำหญิง ไมค่า มอนโร ได้รับการคัดเลือกให้ไปนำแสดงภาพยนตร์ Independence Day: Resurgence ของผู้กำกับโรแลนด์ เอ็มเมอริช แต่มันไม่เข้าโรงในเมืองไทยนิ จนกระทั่งค่ายหนังเอาเข้ามาพร้อมด้วยการโปรโมท

เปิดฉากด้วยพล็อตที่ทำให้คิดถึง Scream ที่เปิดตัวด้วยการตายของหญิงสาว และรอการเล่าเรื่องแบบที่ชวนให้คิดกันว่าน่าจะมาจาก “จิตใต้สำนึก” หรือ “วิญญาณอาฆาต” ชมไปได้สักกลางเรื่อง ประเด็นแรกตกไปเลย ส่วนการ “ติดตาม” ของเจ้าสิ่งนี้ ก็ทำให้คิดถึง The Ring แต่มายุคนี้ประเด็นกลับไปวนเวียนอยู่กับเรื่อง “เพศสัมพันธ์” ใช้เป็นวิธีในการส่งต่อ ดีที่บทบอกว่ามันมีแค่ตัวเดียว ไม่เหมือนวีดีโอเทปที่ถ้าดูหลายคนก็ต้องก็อปปี้หลายที

มองในแง่มุมที่อาจสั่งสอนได้ว่าถ้าวัยรุ่นรักการฟรีเซ็กส์ อาจได้ของแถมตามมา แต่ผมก็ไม่คิดมันจะเบรคฮอร์โมนส์ในร่างกายได้หรอกนะครับ เพราะขนาดผู้ชายที่ชอบนางเอกในเรื่อง รู้ทั้งรู้ว่าต้องเจอกับอะไร ยังอุตส่าห์ลองของเลย กับมีคำถามที่ว่าทำไม “ตัวตามติด” นี่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยใส่เสื้อผ้ากัน หรือไม่ก็ขาดวิ่น โชว์อะไรบางอย่าง (มันทำให้น่ากลัวขึ้นมากจริงๆเหรอ?) ในทีวีซีรีส์ The Walking Dead ความน่ากลัวอยู่ที่รูปแบบการนำเสนอ แต่ใน It Follows การนำเสนอก็น่ากลัวได้ระดับพอสมควร ผมว่ามันไม่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์แต่ก็เข้าใจได้ว่าถ้าโปรเจคฮิต ผู้สร้างก็ได้ไฟเขียวในภาคต่อไปได้เลย


เอามาชมคั่นอารมณ์เพื่อทำให้นึกถึง The Blair Witch Project หรือ Paranormal Activity ก็พอได้แต่หนังจะพยายามเสนอแนวคิดการสยองขวัญในรูปแบบใหม่มากกว่า ซึ่งก็พอรับได้แต่มันไม่ค่อยเคลียร์ครับ....

ติดตามข้อมูลและข่าวสารภาพยนตร์ได้ที่เฟซบุ๊ค EntertainView 
https://www.facebook.com/pages/Entertainview/172702066075577


วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Kingsman: The Secret Service สายลับเกรียนโคตร


Kingsman: The Secret Service ภาพยนตร์สายลับแบบเกรียนๆ (ยุคนี้ต้องใช้คำนี้ใช่ไหม?) แต่ไม่แปลกใจเพราะเป็นผลงานของผู้กำกับ แมทธิว วอห์น จาก Kick-Ass “เกรียนโคตร” ทั้งสองภาค ที่ยกเอาซูเปอร์ฮีโร่มารวมกับชีวิตจริง “โคตรพิทักษ์บ่มพยัคฆ์” ก็เช่นเดียวกัน

พระเอกเราคือ “อิ๊กซี่” (ทารอน อีเกอร์ตั้น) ที่เคยมีพ่อเป็นผู้คัดเลือกสู่ “คิงส์แมน” โดยมี “กาลาฮัด” (โคลิน เฟิร์ธ) จะเป็นครูแนะแนว ขั้นตอนการคัดเลือกทำให้นึกถึง Men In Black ต้นฉบับที่ “เจ้าหน้าที่เค” พาคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่าง “เจ” เข้ามารับการฝึก ตอนแรกคิดว่าจะชอบกับการต่อสู้ของ โคลิน เฟิร์ธ ไหม? เพราะติดภาพจากหนังรอมคอมทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Bridget Jones’ Diary , Love Actually หรือ Mamma Mia! ด้วยการถ่ายทำแบบมุมมองแรก บวกกับ Kick-Ass สไตล์ทำให้ฉากการต่อสู้ตื่นตาและสะใจดีมากๆ โดยรวมแล้วยังชอบฉากการต่อสู้ในโบสถ์มากกว่าการต่อสู้ในรังผู้ร้ายท้ายเรื่องด้วยซ้ำ

เหมือนการเอาหนัง J.B. (เจมส์ บอนด์นะ ไม่ใช่ เจสัน บอร์น, แจ็ค บาวเออร์ หรือ จัสติน บี…) สำหรับฝ่ายพระเอกสู้กับผู้ร้ายที่มาจากพวกเด็กแนวหรือเจ้าพ่อที่ใส่ชุดเต็มไปด้วยสีสันต่างๆ นานๆทีจะเห็น “ผู้การฟิวรี่” แซมวล แอล.แจ็คสัน มาในบทร้ายและพูดมากๆ (เคยพูดมากมาแล้วใน Robocop) ครึ่งเรื่องแรกบทเดินได้ด้วยตัวละครของ เฟิร์ธ และ “อิ๊กซี่” เป็นคนเดินตาม พอหมดบทครูแนะแนว สายลับรุ่นเยาว์จึงได้ทำหน้าที่แทน พร้อมทั้งการช่วยเหลือจาก “เมอร์ลิน” เจ้าหน้าที่ภาคปฎิบัติจากคิงส์แมน (มาร์ค สตรอง เล่นบทเป็นคนดีแล้ว ดีใจจัง!)

อีกรายที่เด่นและไปได้ดีกว่าบทนางเอก คือนักแสดงโซเฟีย บูเทลล่า รับบท “กาเซลล์” (คงจะให้หมายถึงละมั่งที่มีกำลังขาอันแข็งแกร่งด้วย) สวย คม นึกถึง “ซีเนีย โอนาท็อปป์” วายร้ายหญิงบอนด์ที่แสดงโดย แฟมเก้ แจนเซ่น ได้เข้าเล่น Star Trek Beyond ไปแล้ว ขอให้ได้เป็นฝ่ายดีบ้างนะ อยากดูเธอแบบงามๆ ,  พระเอกนี่ไม่คุ้นเลย ทารอน อีเกอร์ตั้น ปรับเปลี่ยนจากชุดฮิพฮ็อพมาเป็นสูทก็พอได้ (แต่ เฟิร์ธ ดูดีกว่าเยอะ...สงสัยติดมโนมาจากรอมคอม) หน้าในบางขณะก็ยับๆยังไงก็ไม่รู้ แต่มาดเขากวนดีแท้ รอดูกันอีกทีในภาพยนตร์ดราม่าแก๊งสเตอร์ Legend ประกอบ ทอม ฮาร์ดี้ และจากนี้ก็ Eddie the Eagle ประกบ ฮิวจ์ แจ็คแมน


สุดท้ายจบที่บทสุดเปลืองตัวนักแสดง บท “อาร์เธอร์” ของ ไมเคิล เคน นึกว่าจะเป็นเสาหลักแต่ที่แท้เป็นเสาลอย ลูกเล่นไม่มี (ตามบทนะ) หนังต้องการเพียงเครดิตนักแสดงที่ดูน่าเชื่อถือและยำเกรงแค่นั้นเอง โดยรวมออกมาสนุกเพราะมีลูกเล่นอุปกรณ์ไฮเทค รวมถึงแผนการก่อการร้ายที่เสียดสีสังคมยุคไร้สาย  คิดว่าจะมีการพูดระลึกถึงคนที่ตายไปในการต่อสู้แต่อย่างที่หนังบอก....  “นี่ไม่ใช่หนังประเภทนั้น”...... แต่ก็อุตส่าห์จบแบบที่ เจมส์ บอนด์ “เพียร์ซ บรอสแนน” ทำในตอนท้ายของทุกภาค

ติดตามข่าวสารและข้อมูลภาพยนตร์ได้ที่เฟซบุ๊ค EntertainView https://www.facebook.com/pages/Entertainview/172702066075577?ref=settings


วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Jurassic World สวนสัตว์เปิดหลังจาก 22 ปีผ่านไป


*บทความมีสปอยล์ครับ -- หากไม่อยากรู้รายละเอียดภาพยนตร์ กรุณาอย่าเพิ่งอ่าน

หนึ่งในภาพยนตร์ที่นำกลับมาสร้างใหม่ Jurassic World ที่ผู้กำกับ โคลิน เทรเวอร์โรว์ เคยบอกไว้ว่าจะตรงไปตรงมากับต้นฉบับ ซึ่งหลังจากได้ดูแล้วเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ

จากบทประพันธ์ต้นฉบับ Jurassic Park ของ ไมเคิล ไครช์ตัน ผู้ล่วงลับ แกนหลักยังไม่เปลี่ยนคือ มนุษย์คิดว่าตนเองสามารถควบคุมทุกอย่างได้ แต่เอาเข้าจริงก็กลายเป็นหายนะเช่นเดิม ผมยังคิดไม่ออกว่า นอกจากการให้ไดโนเสาร์ออกมาไล่ล่าคนแล้ว ภาพยนตร์จะสามารถเสนอมุมมองไหนได้อีก ใน Jurassic World มีการพยายามนำไดโนเสาร์ไปใช้งานการสงคราม

หลายอย่างทำให้นึกถึงภาคแรก ยิ่งคนที่เคยชมภาคแรกในโรงภาพยนตร์เมื่อ 22 ปีก่อนคงรู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของพี่น้อง ธีมเพลงของ จอห์น วิลเลี่ยม ตัวละครเอกที่แม้จะเชี่ยวชาญมากแค่ก็ยังรับมือเจ้าไดโนเสาร์ไม่ได้ มหาเศรษฐีที่ต้องการทำฝันให้เป็นจริง หรือตัวร้ายที่ไม่รอดจากน้ำมือของสิ่งที่เขาต้องการควบคุม

ความยาวของภาพยนตร์ 2 ชั่วโมงนิดหน่อย แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม ไม่ต้องเสียเวลาพูดกันให้ยืดยาวและมากมาย ทุกคนได้ตื่นตาตื่นใจกับเหล่าบรรดาไดโนเสาร์ในรูปแบบต่างๆ แถมด้วยสายพันธุ์ลูกผสมที่มนุษย์อยากควบคุมจนต้องอัญเชิญสายพันธุ์ดั้งเดิมมาช่วยเหลือ ทิ้งท้ายด้วยคำถามที่ว่าใครจะมารับช่วงต่อของกิจการที่มีการบาดเจ็บล้มตายกันมากมายขนาดนี้ และ ไข่ตัวอ่อนและผลงานทั้งหมดของศูนย์วิจัยจะถูกนำไปที่ใด? หรือใช้ประโยชน์แบบไหนต่อไป?  ในหนังบอกว่า “มาซรานี” ของนักแสดง เออร์ฟาน ข่าน คือมหาเศรษฐีอันดับที่ 8 ของโลก แสดงว่ายังมีอีก 7 รายที่รวยกว่าสามารถเทคโอเวอร์กิจการได้ งั้นก็สร้างต่อไปอีก 7 ภาคแล้วกัน ให้เท่ากับแฮร์รี่ พอตเตอร์ เลย (อันนี้คิดเล่นๆ)
ถึงตอนนี้ภาพยนตร์ Jurassic World กลายเป็นภาพยนตร์เปิดตัวทำเงินมากที่สุดไปแล้ว  หลายคนคงเห็น “โอเว่น เกรดี้” ขี่ไดโนเสาร์ถือค้อน “โยเนียร์” และ คริส แพรทท์ เซ็นต์สัญญาในภาคต่อไปเรียบร้อย ถ้าไม่ดังมากไปกว่านี้คงได้เห็นเขากลับมาในปี 2018 -2019 และเป็นไปได้ที่เขาจะปรากฎตัวใน Avengers: Infinity War – Part I – II ในฐานะ “สตาร์-ลอร์ด”

สำหรับนางเอก “แคลร์” ของ ไบรซ์ ดัลลัส โฮเวิร์ด ก็ออกมาสวยดีแต่คิดว่าจะมีมาดมากกว่านี้ ส่วนตัวบางมุมหน้าเหมือนพ่อของเธอจริงๆ (ผู้กำกับฝีมือเยี่ยม รอน โฮเวิร์ด) อีก 2 รายนักแสดง ไท ซิมพ์คินส์ “เกรย์” และ นิค โรบินสัน “แซ็ช” ถ้าเดินตามรอย Jurassic Park สองคนนี้คงไม่กลับมาภาคต่อแน่นอน ที่น่าจะกลับที่สุดมาคงเป็น “ที-เร็กซ์” เพราะเป็นเครื่องหมายการค้าของภาพยนตร์


ตัวละครที่คิดว่าจะใส่รายละเอียดมากกว่านี้คือ “ฮอสกิ้นส์” ของ วินเซ็นต์ ดีโอโนฟริโอ อันนี้ผมคิดไปเองเพราะติดใจการแสดงของเขาในบท “วิลสัน ฟิสค์” จากทีวีซีรีส์ Daredevil มาก ส่วนบทที่คิดว่าเกินมาจริงๆสำหรับเรื่องนี้คือ พ่อและแม่ ของวัยรุ่นทั้งสองคน ถึงตัดออกไปก็ไม่ได้ทำให้หนังขาดความสมบูรณ์แต่อย่างใด บทที่น่าสงสารที่สุดคือนักแสดง ไบรอัน ที (เคยมีผลงานอย่าง The Wolverine และจะเป็น “ชเร็ดเดอร์” คนใหม่ใน TMNT2) รับบท “ผบ.ฮามาดะ” ออกมานิดเดียวก็ไปซะแล้ว  สำหรับผู้กำกับ โคลิน ได้ออกมาปฏิเสธการกำกับภาคต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Avengers: Age of Ultron

มันเป็นเหมือนการคาดหวังว่าครั้งที่ 2 จะต้องดีกว่าครั้งแรกเสมอ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดการันตีได้หรอกครับ Avengers: Age of Ultron เหมือนเป็นการพักยกของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ที่พบงานหลักและมาเจองานรองที่ไม่ค่อยอยากจะรับ

โดยการอ้างไปถึงคฑาของ “โลกิ” ที่แอสการ์ดอยากได้คืน ทำให้กลุ่มอเวนเจอร์สต้องออกตามหา จนไปเจอกับ “บารอน วอน สตรัคเกอร์” (อีกรายของวายร้ายที่มาเร็วและไปเร็ว) และการเลี่ยงบาลีของสตูดิโอมาร์เวลว่า “ควิกซิลเวอร์” และ “สการ์เล็ตต์วิทช์” กำเนิดมาจากพลังของการทดลองทางวิทยาศาตร์จากคฑาควบคุมจิตใจ ไม่ได้เป็น “มิวแทนต์” มนุษย์กลายพันธุ์ของเหล่า X-Men ที่ทางสตูดิโอฟ็อกซ์ได้สิทธิ์ไป

เนื้อเรื่องแบบสรุปง่ายๆคือ “โทนี่ สตาร์ค” ต้องการตำรวจโลกเพื่อป้องกันการรุกรานจากภยันตรายในทุกรูปแบบ จึงได้หาทางสร้างอัลตรอน ปัญญาประดิษฐ์เพื่อคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ภัยคุกคามนานัปการ สิ่งที่ผมชอบแบบสะใจคือ ในเมื่อคนสร้างอยากให้หุ่นช่วยคิดแทน แต่ในทางกลับกัน “คนสร้าง” ยังคิดไม่ออกและบางครั้งยังต้องทำลายทิ้งเพื่อสร้างสิ่งใหม่ “อัลตรอน” ก็คิดได้เหมือนกันว่า “งั้นผมก็ทำลายเลยแล้วกัน ง่ายๆ ไม่ยาก” แอบสงสารอัลตรอนเหมือนกันว่าไม่มีพวก แถมโดนเหล่าซูเปอร์ฮีโร่รุมยำ ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าผดุงความยุติธรรมต่างหาก

ที่แปลกใจคือ “แบล็ควิโดว์” ชอบ “บรู๊ซ แบนเนอร์” ผู้กำกับจอสส์ วีดอน มีมุมมองที่แยกออกมาจริงๆนับแต่สมัยทีวีซีรีส์ Buffy the Vampire Slayer ตัวละครผสมกันคละกันได้ไปหมด แต่นั่นมันทีวีที่แบ่งเป็นตอน ทำให้พอมีคำอธิบายความเป็นมา แต่ในหนังเริ่มต้นก็หักมุมบอกชอบกันทันที รวมถึง “นาตาชา” จะสวยในแบบผมสั้น (วีดอน) หรือเซ็กซี่ในแบบผมยาว (รุสโซ่)  ส่วน “สตีฟ โรเจอร์ส” ตอนจบของ Captain America: The Winter Soldier กำลังจะไปตามหา “บัคกี้ บาร์นส” แต่กลับมารวมกันเฉพาะกิจ ทำให้รู้สึกความไม่ต่อเนื่องของเหตุการณ์ แต่มีข่าวออกมาว่าความยาวภาพยนตร์ของจริงมัน 3 ชั่วโมงกว่า แต่ผู้กำกับตัดเหลือ 2 ชั่วโมง 20 นาที (นึกถึง Titanic เลย) ฉากแห่งการรอคอยไม่ใช่ตอนรวมพลังต้านทานเหล่าหุ่นยนต์ของทีม แต่เป็น “ฮัลค์” ปะทะ “ฮัลค์บัสเตอร์” ครับเพราะตอนเรียกเกราะมารวมร่าง รวมถึงเปลี่ยนอะไหล่แขนใหม่มันเท่ห์มากจริงๆ


คงต้องคิดเป็นว่าเราเชื่อม The Avengers ภาคแรกต่อกับภาคสอง Age of Ultron เพื่อไม่ให้อารมณ์สะดุด นอกจากนี้มีไข่อีสเตอร์สเยอะมาก รวมถึง “อินฟินิตี้เจมส์” ก็ตามกันเหนื่อยแล้วครับ  คิดว่าพลังดาราที่มารับบทซูเปอร์ฮีโร่อย่าง  ดอน เชียเดิล “วอร์แมชชีน”, อลิซาเบ็ธ โอลเซ่น “สการ์เล็ตวิทช์” , แอนโธนี่ แม็คคี “เดอะฟอลค่อน” และล่าสุดกับ พอล เบ็ททานี่ “วิชั่น” ยังไม่พอที่ทางสตูดิโอจะนำมาเป็นทีมอเวนเจอร์สใหม่ได้แน่นอน  จึงจำเป็นต้องทดสอบพลังกันอีกครั้งใน Captain America: Civil War ที่เราจะได้ชมกันในปีหน้าพร้อมกับ การมาถึงของ “สไปเดอร์-แมน” คนใหม่ที่คาดว่าน่าจะเป็น อาซ่า บัทเตอร์ฟิลด์ ที่มีผลงานที่ผ่านมาอย่าง Hugo, Ender’s Game, The Boy in the Striped Pyjamas และ X+Y

ทิ้งท้ายคือมาร์เวลเริ่มเปลี่ยนบท "โทนี่ สตาร์ค" ของโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ให้ไม่มากเกินกว่า "สตีฟ โรเจอร์ส" ดาวนีย์ เซ็นต์สัญญากับทางสตูดิโอเป็นเรื่องๆไป สังเกตุได้จาก AOU คือสัญญาแบบมัดรวมครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเพิ่มสัญญากับภาพยนตร์ Civil War ถ้าตัวละครอื่นไปได้ดี หรือเรียกว่าขายได้แล้ว "ไอร่อนแมน" คงหมดบทบาทในจักรวาลภาพยนตร์ และรอคอยผู้ที่เหมาะสมมารับบท "มหาเศรษฐีพันล้าน สุดแสนจะใจบุญ" ในโอกาสต่อไปครับ 

ติดตามข้อมูลภาพยนตร์ได้ที่ Entertainview https://www.facebook.com/pages/Entertainview/172702066075577?ref=hl



วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Night at the Museum: Secret of the Tomb


ในยุค 90 หากจะดูหนังครอบครัวตลก คงต้องยกให้ โรบิน วิลเลี่ยมส์ ไม่ว่าจะเป็น Mrs.Doubtfire, Jumanji หรือ Hook วิลเลี่ยมส์เป็นนักแสดงที่มาจากทีวีซีรีส์ Mork & Mindy หรือบทดราม่าอย่าง Good Morning Vietnam, Dead Poets Society (เรื่องโปรดของผมเลย) , Good Will Hunting เมื่อดู Night at the Museum ภาคแรกจึงเหมือนการส่งต่อไม้อย่างเป็นทางการสำหรับผม ในขณะที่ เบ็น สติลเลอร์ เป็นทั้งผู้กำกับและนักแสดง ได้รู้จักกันจริงจังจาก  There's Something About Mary ประกบ คาเมรอน ดิอาซ หลังจากนั้นก็มีหนังสุดฮิตอย่าง Meet the Parents และการพากษ์เสียง "อเล็กซ์" ในการ์ตูน Madagascars 

สิ่งที่ผมคาดหวังคือการที่จะให้หนังมีบทที่เสริมความสนุกให้กันระหว่าง เบ็น กับ โรบิน นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามันหายไปในเรื่องนี้ เพราะผู้กำกับดันบท "ลา" (ที่แสดงโดย เบ็น สติลเลอร์ เหมือนกัน) ให้เป็นตัวละครยิงมุขแทน 

เปิดฉายในสหรัฐอเมริกาด้วยรายได้ 17 ล้านเหรียญ Night at the Museum: Secret of the Tomb “ความลับสุสานอัศจรรย์” เบน สติลเลอร์ กลับมารับบท “แลร์รี่ ดาลีย์” อีกครั้ง พร้อมกับทีมนักแสดงที่คุ้นเคยอย่าง โอเว่น วิลสัน, สตีฟ คูแกน และ นักแสดงผู้ล่วงลับ โรบิน วิลเลี่ยมส์ ภายใต้การกำกับของ ชอว์น เลวี่


“แลร์รี่” ต้องออกเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษเพื่อหาทางแก้ไขการเสื่อมพลังของศิลาจารึกตามที่ “อัห์คเมนราห์” ได้บอกไว้ว่าต้องถามพระราชบิดา “เมเรนคาห์ร” เพียงอย่างเดียว การเดินทางทำให้เขาได้พบกับพนักงานเฝ้ายามหญิง “ทิลลี่” และหุ่นขี้ผึ้ง “เซอร์แลนซาล็อต” 
สองนักแสดงคู่หู โอเว่น วิลสัน กับบทคาวบอย “เจดไดอาห์” และ สตีฟ คูแกน นักรบแห่งโรมัน “อ็อคเทเวียส” และที่ขาดไม่ได้คือตัวละครลิง  “เด็กซ์เตอร์”  (ผมฮากับ 3 ตัวละครนี้ที่สุดตอนช่วงเมืองปอมเปอี ^^)

การผสมผสานกับงานซีจีที่ทำกันมาถึงภาคที่ 3 ทำให้ความสดใหม่หรือความตื่นตาถูกลดทอนลงไป แต่ไม่ได้หมายความว่าหนังนั้นไม่สนุก  ตัวหนังนั้นพยายามนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง “แลร์รี่” และ “นิค” พ่อและลูกชายที่เป็นวัยรุ่นที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะทำงานหรือเรียนต่อ  เชื่อมโยงไปถึง “ลา” ที่คิดว่าเขาเป็นลูกชาย “แลร์รี่” เหมือนกันเพราะหน้าตา และ “อัห์คเมนราห์” กับพระราชบิดา ที่ผมคิดว่า 2 ตัวละครหลังนี้ หนังไม่ค่อยแสดงให้รู้สึกถึงความสัมพันธ์มากสักเท่าไหร่  ส่วนตัวละคร “ทิลลี่” ของนักแสดงหญิง รีเบล วิลสัน น่าจะใช้ประโยชน์จากความสามารถเธอได้มากกว่านี้  

ประเมินจากรายได้ภาพยนตร์ในสหรัฐฯ น่าจะเป็นการปิดไตรภาคอย่างเป็นทางการแล้ว ตัวเลขเปิดตัวไม่สามารถเทียบได้กับสองภาคแรก  (ประมาณว่าจบไม่ดีเหมือนกับกรณีของ The Hangover Part III)  ในมุมมองของเนื้อเรื่องไม่สลับซับซ้อน เดินเรื่องรวดเร็วและยังคงเรียกเสียงหัวเราะได้เป็นระยะ บทไหลตามเนื้อเรื่องแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แถมยังมี 2 นักแสดงมาในบทรับเชิญเป็น ฮิวจ์ แจ็คแมน “กษัตริย์อาเธอร์” และ อลิซ อีฟ “องค์หญิงกวิเนเวียร์” เป็นอะไรที่ดูน่ารักสำหรับทั้งคู่นี้ 

ต้นฉบับจาก oknation.net เขียนเมื่อ 24 ธันวาคม 2557 แก้ไขและเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม 27 พฤษภาคม 2558

เฟซบุ๊ค Entertainview 
https://www.facebook.com/pages/Entertainview/172702066075577



วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

John Wick v The Equalizer


ได้ดูภาพยนตร์แนวแอ็คชั่น 2 เรื่องต่อเนื่องกันคือ John Wick ตามด้วย The Equalizer ด้วยความอยากรู้ว่า คีอานู รีฟส์ และ เดนเซล วอชิงตัน เล่นดีขนาดไหน สตูดิโอถึงประกาศสร้างภาคต่อทั้งสองเรื่องในเวลาใกล้เคียงกัน

John Wick “แรงกว่านรก” หลังจากชื่นชอบ คีอานู นับแต่ Bill & Ted’s Excellent Adventure หนังตลกแฟนตาซียุค 90 ตามด้วย Little Buddha และ Speed มาจบด้วยไตรภาคของ The Matrix ผมว่าเขามีรูปการแสดงที่แข็งๆแต่ถ้ามีบทที่เหมาะสมจริงๆคงเป็น Speed กับ The Matrix นี่แหละ ใน John Wick นี้รับบทเป็นอดีตมือสังหารของมาเฟีย แต่เลิกแล้วหลังตกหลุมรักกับหญิง แต่เมื่อแฟนตายไป เธอได้ฝากสุนัขไว้ให้เพื่อไม่ให้พระเอกเราเหงาๆ ชนวนเหตุมาจากเจ้าสุนัขนี้เพียงตัวเดียวที่ลูกชายของเจ้าพ่อมาเฟียที่ “จอห์น วิค” เคยทำงานให้มาปล้นรถและฆ่าหมาทิ้ง สไตล์หนังคือมีการนำเสนอโลกมืดของเหล่าแก๊งค์มาเฟียและกฎระเบียบของเหล่านักฆ่า นำเสนอแบบยิงกันแบบ “เฮดช็อต” และ “เลือดสาด” มีเพียงฉากเดียวที่ผมคิดว่า คีอานู เล่นแบบได้อารมณ์คนจบปวดจากความแค้นคือฉากที่ถูกทรมานและสบถเรื่องของชีวิตตัวเองด้วยความเจ็บปวด

The Equalizer “มัจจุราชไร้เงา” ภาพยนตร์ที่รีเมคมาจากทีวีซีรีส์ พระเอกของเราคือ เดนเซล วอชิงตัน (จะบอกว่าชอบบทของเขาใน Training Day มาก แถมสะใจตอนท้ายที่เขาโดนยิงตาย) รับบท “โรเบิร์ต แม็คคอลล์” คนมีอดีตเหมือน “จอห์น วิค” ที่ลาวงการหลังแฟนเสียชีวิต (เหมือนกัน) อยากใช้ชีวิตธรรมดาแต่เมื่อธรรมชาติของคนมันเปลี่ยนยาก พอได้เห็นหญิงสาวโสเภณีที่ถูกกดขี่จากพวกมาเฟียแมงดา ทำให้เขาต้องไปขอร้องด้วยความสุภาพ ก่อนจะจบด้วยการ “เลือดสาด” (เหมือนกัน) ใน The Equalizer ยังไม่ได้เล่าถึงอดีตอย่างชัดเจนว่าเขาเคยทำภารกิจอะไรมาบ้าง ยังสามารถขยายและเพิ่มรายละเอียดเนื้อเรื่องได้ต่อไปอีกในภาคสอง ซึ่งชัดเจนอยู่แล้วในตอนท้ายเรื่องว่าเขาเริ่มรับงาน “แก้ปัญหา” อย่างที่เขาถนัด ไม่ปิดกั้นตัวเองอีกต่อไป

John Wick เล่าเรื่องแบบตะลุยแหลก แต่ The Equalizer เล่าได้มีมิติมากกว่าซึ่งในครึ่งแรกเล่าเหมือนแนะนำตัวละครอย่างซูเปอร์ฮีโร่ที่ค่อยๆขจัดเหล่าร้ายทีละรายจนถึงตัวใหญ่ในตอนท้าย ถ้าให้คะแนนความชอบ ผมชอบ The Equalizer มากกว่า แต่จากสัดส่วนทุนสร้างรายรับที่ได้กลับมา John Wick ได้กำไรมากกว่า The Equalizer คำถามคือถ้าบทของ John Wick ยังนำเสนอในมุมเดิมไม่มีเนื้อเรื่องเพิ่มเติม ภาพยนตร์จะยังดึงดูดผู้ชมได้หรือเปล่า? ในขณะที่ The Equalizer ยังมีแบ็คกราวด์ของ “แม็คคอลล์” ที่ยังไม่ได้กล่าวถึง..

เฟซบุ๊ค Entertainview 
https://www.facebook.com/pages/Entertainview/172702066075577




วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

American Sniper


American Sniper ผลงานกำกับของคลิ้นท์ อีสต์วู้ด เล่าเรื่องของ “คริส ไคลย์” มือปืนซุ่มยิงที่ทางการรายงานว่าสามารถสังหารศัตรูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เริ่มแรกเมื่อปลายปีที่ผ่านมากับการปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความเครียดว่า “คริส” จะยิงเด็กที่ถือระเบิดในมือหรือไม่? ดึงความสนใจได้ไม่น้อยทีเดียว พร้อมเปิดตัวช่วงเวลาแห่งการชิงรางวัลอีกต่างหา

American Sniper มีฉากสงครามที่กดดันอีกหลายฉากรวมถึงการสังหารตัวประกันที่เป็นเด็กและชายผู้เป็นพ่อต่อหน้าต่อตาทหารอเมริกันที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบทุกด้าน ภาพยนตร์ไม่ได้เล่าให้สหรัฐอเมริกาชนะโดยตลอด  ฝ่ายอเมริกาก็สูญเสียด้วยเช่นเดียวกันแม้จะถูกฝึกมาจากหน่วยซีลก็ตาม

“คริส ไคลย์” ในภาพยนตร์ไม่ได้เป็นคนที่เลือดเย็น แต่ได้รับการปลูกฝังให้เป็น “สุนัขเลี้ยงแกะ” จากพ่อของเขา และเป็นอีกหนึ่งคนที่ชีวิตเปลี่ยนหลังจากวินาศกรรมเหตุการณ์ 11 กันยายน เข้าสู่หน่วยซีล แต่ไม่ได้อยากดังแม้จะได้รับการยกย่องว่าเป็น “ตำนาน” หรือการได้รับความนับถือจากทหารผ่านศึกต่อหน้าลูกชาย  เขาก็ไม่ได้ยิ้มหรือยินดีแต่อย่างใด  ทุกครั้งที่กลับมาจากสมรภูมิทำให้มีผลกระทบต่อครอบครัวเช่นเดียวกัน

แม้ปลดประจำการ “คริส ไคลย์” ก็ยังคงช่วยเหลือเพื่อนทหารผ่านศึกด้วยกันจนวาระสุดท้าย เป็นอีกภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นว่าสงครามทิ้งไว้ทั้งบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ
แบรดลี่ย์ คูเปอร์ พัฒนาร่างกายจนเหมือนกับ คริส ไคลย์ เมื่อใดก็ตามที่นำเสนอฉากการรบทำให้ตื่นเต้นได้ตลอดเวลา  ทำให้ได้รู้เพิ่มเติมว่าเวลามือปืนซุ่มยิงปฏิบัติภารกิจเขาทำงานกันอย่างไรด้วย  ภาพยนตร์เข้าชิง 6 รางวัลออสการ์หวังว่าจะได้สักรางวัล เพียงเสียดายว่า คลิ้นท์ อีสต์วู้ด ไม่ได้เข้าชิงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมครับ

*เขียนเมื่อ 31 มกราคม 2558 ที่บล็อก oknation.net
http://www.oknation.net/blog/angelrous/2015/01/31/entry-1

เฟซบุ๊ค Entertainview
https://www.facebook.com/pages/Entertainview/172702066075577?ref=tn_tnmn

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

The Age of Adaline ความสุขไม่ได้อยู่กับการที่มีชีวิตยืนยาว


เคยดูภาพยนตร์ที่ เบลค ไลฟ์ลีย์ เล่นเรื่องเดียวคือ Green Lantern คู่กับ ไรอัน เรย์โนลด์ส (ปัจจุบันทั้งคู่แต่งงานกันไปเรียบร้อยและมีลูกสาว 1 คน) นอกนั้น Savages หรือแม้แต่ทีวีซีรีส์ Gossip Girls ก็ไม่ได้ดู รู้แต่ว่าเธอสวย

แต่สำหรับ The Age of Adaline เบลค ไลฟ์ลี่ย์ ในบท “อดาไลน์” เธอทั้งสวยและ “เป๊ะ” มาก (หรือจะใช่คำว่า “เป๊ะเว่อร์” ดี?) ทีมงานคงเน้นส่วนเรื่องเครื่องแต่งกายแต่ละยุคสมัยอย่างละเอียด ออกมาทีละนิดหน่อย ไม่ได้อัดมาให้ดูเหมือนยัดเยียด บทของหญิงสาวผู้หยุดอายุตนเองไว้ที่ 29 ปีหลังจากประสบอุบัติเหตุ เปิดโอกาสให้ได้แสดงชุดและทรงผมในแต่ละยุคอีกด้วย แม้บทจะน้อยกว่านางเอกเยอะ แต่พระเอก “เอลลิส โจนส์” ของ มิคิเอล ฮิวส์แมน ก็มีเสน่ห์ไม่น้อยเช่นเดียวกัน

เสริมด้วยทีมนักแสดงอย่าง แฮร์ริสัน ฟอร์ด ในบท “วิลเลี่ยม โจนส์” และ เอลเลน เบิร์นสตีน ในบท “เฟลมมิ่ง” มีฉากน่ารักของ “วิลเลี่ยม” และภรรยาที่แสดงอาการหึงกัน หรือ “เฟลมมิ่ง” บ่นเรื่องอายุของตนเองให้คุณแม่แสนสวยฟัง ฉากที่ทำให้นึกถึงภาพยนตร์ Notting Hill คือนางเอกไปง้อพระเอกที่ทำงาน ในสถานการณ์ที่ “อดาไลน์” ทำกับ “เอลลิส” นี่ ถ้าเราไม่รู้ว่าคนที่เราชอบมีเงื่อนไขอะไรคงทำใจลำบากน่ะ

นึกถึงทีวีซีรีส์อย่าง Forever ที่พระเอก “เฮนรี่ มอร์แกน” เป็นอมตะที่เมื่อตายด้วยสถานการณ์ไหนก็ตามเขาจะกลับมาฟื้นคืนชีพในน้ำ (ด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า!) แต่ “อดาไลน์” เป็นตัวละครที่ตายได้เพียงแต่ไม่แก่ขึ้น

สิ่งที่เหมือนกันและมาจากสองเรื่องนี้คือ คนที่มีชีวิตยืนยาว ไม่ได้มีความสุข เพราะทุกคนที่เรารักหรือรู้จักได้ตายจากไป พวกเขาไม่รู้สึกถึงความแก่ สายตาฝ้าฟาง กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเผ้ามองลูกตนเองค่อยๆแก่ขึ้นทีละน้อย ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการที่ได้มีคนที่เรารักอยู่ข้างกายและสามารถแก่ไปได้พร้อมๆกัน

ผมนึกถึงคำพูดที่ว่า “เพราะชีวิตมันมีจุดสิ้นสุด มันจึงสนุก” แล้วก็เลยคิดไปว่ามันสอดคล้องกับ “Life is limited edition – ชีวิตมันมีรูปแบบจำกัด” หรือจะแปลได้อีกว่า “ชีวิตของแต่ละคนนั้น มีรูปแบบทีแตกต่างกัน มันถึงเป็นลิมิตเต็ดอีดิชั่น (ของแต่ละคน)

ลองชมกันนะครับ The Age of Adaline ความยาวไม่ถึง 2 ชั่วโมง ตัดเรื่องเหนือธรรมชาติออกไป ก็คือภาพยนตร์รักโรแมนติคที่ดีเรื่องนึงนี่เอง


ติดตามข่าวภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดได้ที่ EntertainView https://www.facebook.com/pages/Entertainview/172702066075577